การคาดการณ์ราคาหุ้น Ford Motor Company: หุ้นกำลังทรงตัวอยู่บนขอบเหว

19.02.2025

เมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ Ford Motor Company (NYSE: F) ได้รายงานผลประกอบการไตรมาสที่ 4 ปี 2024 โดยมีรายได้เพิ่มขึ้น 5% และมีกำไร 1.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เมื่อเทียบกับการขาดทุนในปีก่อนหน้า อย่างไรก็ตาม ราคาหุ้นลดลง 7.5% หลังการเผยแพร่รายงาน เนื่องจากนักลงทุนผิดหวังกับแนวโน้มปี 2025 ซึ่งบ่งชี้ถึงความเป็นไปได้ที่กำไรจะลดลง

บทความนี้ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับธุรกิจและแหล่งรายได้ของ Ford Motor Company นำเสนอรายงานประจำไตรมาส พร้อมทั้งวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานของสินทรัพย์ที่จดทะเบียนในชื่อ F นอกจากนี้ยังรวมถึงการคาดการณ์ของผู้เชี่ยวชาญต่อหุ้น Ford ในปี 2025 และการวิเคราะห์ประสิทธิภาพของหุ้น Ford ซึ่งเป็นพื้นฐานสำหรับการคาดการณ์ราคาหุ้น Ford Motor Company ในปี 2025

เกี่ยวกับ Ford Motor Company

Ford Motor Company ก่อตั้งโดย Henry Ford ในปี 1903 ที่สหรัฐอเมริกา กิจกรรมทางธุรกิจหลักของบริษัทคือการออกแบบ ผลิต และทำการตลาดยานพาหนะหลากหลายประเภท ทั้งรถยนต์นั่งส่วนบุคคล รถบรรทุก รถยนต์ SUV และรถเพื่อการพาณิชย์ นอกจากนี้ Ford ยังมีส่วนร่วมในภาคการเงินผ่านบริษัทย่อย Ford Motor Credit Company ซึ่งให้บริการเช่าซื้อ ปล่อยสินเชื่อ และผลิตภัณฑ์ทางการเงินอื่นๆ แก่ผู้ซื้อรถยนต์

การเสนอขายหุ้น IPO เกิดขึ้นในปี 1956 ทำให้ Ford เป็นผู้ผลิตรถยนต์รายแรกที่มีหุ้นซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก (New York Stock Exchange) ภายใต้สัญลักษณ์ F สิ่งนี้เปิดโอกาสใหม่ๆ แก่นักลงทุน และเอื้อให้บริษัทเติบโตและพัฒนาต่อไป

ปัจจุบัน Ford ยังเดินหน้าสร้างนวัตกรรมในอุตสาหกรรมยานยนต์ โดยมุ่งเน้นที่รถยนต์ไฟฟ้าและเทคโนโลยีขับเคลื่อนอัตโนมัติ พร้อมทั้งปรับปรุงสมรรถนะด้านสิ่งแวดล้อมของผลิตภัณฑ์ เพื่อตอบสนองความต้องการตลาดและแนวโน้มที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ

แหล่งรายได้หลักของ Ford Motor Company

Ford แบ่งการดำเนินงานออกเป็นแผนกหลัก และเผยแพร่ผลประกอบการของแต่ละแผนก ยกเว้น Ford Next ซึ่งยังไม่มีรายได้ ส่วนธุรกิจและแผนกหลักของ Ford มีดังนี้:

  • Ford Blue: การผลิตรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายใน (ICE) และรถยนต์ไฮบริดแบบดั้งเดิม ถือเป็นธุรกิจหลักของ Ford และรวมถึงการผลิตและจำหน่ายรถรุ่นคลาสสิกอย่าง Ford F-150, Ford Explorer และ Mustang
  • Ford Pro: การผลิตรถเพื่อการพาณิชย์และการให้บริการที่เกี่ยวข้อง แผนกนี้ให้บริการลูกค้าที่ใช้รถยนต์เพื่อวัตถุประสงค์ทางธุรกิจ
  • Ford E: การพัฒนาและจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้า (EVs) และเทคโนโลยีนวัตกรรม แผนกนี้รับผิดชอบรถรุ่นต่างๆ เช่น Ford Mustang Mach-E และ F-150 Lightning รวมถึงการพัฒนาและโปรโมตแพลตฟอร์มยานยนต์ไฟฟ้าใหม่ๆ
  • Ford Next: การพัฒนารูปแบบธุรกิจใหม่และโซลูชันนวัตกรรมที่อยู่นอกเหนือการผลิตรถยนต์แบบดั้งเดิม หน่วยงานนี้รับผิดชอบงานวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีการขับขี่อัตโนมัติ รูปแบบการเดินทางใหม่ และโครงการที่มีศักยภาพอื่นๆ ซึ่งอาจเป็นพื้นฐานสำหรับการเติบโตต่อไปของบริษัท
  • Ford Credit: แผนกการเงินของบริษัท ให้บริการสินเชื่อแก่ผู้ซื้อรถยนต์รายย่อยและตัวแทนจำหน่าย ดำเนินงานด้านลีสซิ่ง การเงินรถยนต์ และการเงินตัวแทนจำหน่ายสำหรับการเติมสต็อก

รายงานผลประกอบการ Q2 2024 ของ Ford Motor Company

เมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม 2024 Ford ได้เผยแพร่ผลประกอบการไตรมาสที่ 2 ปี 2024 โดยมีตัวชี้วัดทางการเงินดังนี้:

  • รายได้: 47.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (+6%)
  • กำไรสุทธิ: 1.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (-6%)
  • กำไรต่อหุ้น: 0.47 ดอลลาร์สหรัฐ (-35%)
  • รายได้จาก Ford Blue: 26.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (+7%)
    • EBIT: 1.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (-48%)
  • รายได้จาก Ford Pro: 17.0 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (+9%)
    • EBIT: 2.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (+8%)
  • รายได้จาก Ford E: 1.1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (-37%)
    • EBIT: -1.1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ไม่เปลี่ยนแปลง)
  • รายได้จาก Ford Credit: 3.0 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (+20%)
    • EBIT: 0.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (-25%)
  • ยอดขายรถยนต์รวม: 536,050 คัน (+0.8%)
    • รถยนต์ไฟฟ้า (EV): 23,957 คัน (+61%)
    • ไฮบริด: 53,822 คัน (+55%)
    • ICE: 458,271 คัน (-0.5%)

รายงานระบุว่าการเติบโตของรายได้มาจากแผนก Ford Pro ซึ่งมีรายได้เพิ่มขึ้น 9% และมีอัตรากำไรสูงสุดเมื่อเทียบกับแผนกอื่นๆ Ford ครองอันดับสองในยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าในสหรัฐฯ รองจาก Tesla (NASDAQ: TSLA) โดยมียอดขายเหนือกว่า GM ที่ 21,930 คัน อย่างไรก็ตาม รถยนต์ไฟฟ้าของ Ford ยังไม่ทำกำไร สะท้อนจากการขาดทุน 1.1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐของแผนก Ford E ด้วยเหตุนี้ ฝ่ายบริหารของ Ford จึงตัดสินใจลดการผลิตรถกระบะ F-150 Lightning และเลื่อนการลงทุน 12.0 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในการพัฒนารถยนต์ไฟฟ้าออกไปก่อน บริษัทจึงหันไปมุ่งเน้นที่รถยนต์ไฟฟ้าขนาดเล็กซึ่งมีอัตรากำไรสูงกว่า ในส่วนนี้ Ford ตั้งใจจะแข่งขันกับ Tesla และ BYD บริษัทจีนที่จำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้าราคาประหยัด

รายงานผลประกอบการ Q3 2024 ของ Ford Motor Company

เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2024 Ford ได้เผยแพร่ผลประกอบการสำหรับไตรมาสที่ 3 ปี 2024 โดยมีตัวเลขทางการเงินสำคัญดังนี้:

  • รายได้: 46.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (+5%)
  • กำไรสุทธิ: 0.9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (-25%)
  • กำไรต่อหุ้น: 0.47 ดอลลาร์สหรัฐ (-26%)
  • รายได้จาก Ford Blue: 26.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (+3%)
    • EBIT: 1.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (-5%)
  • รายได้จาก Ford Pro: 15.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (+13%)
    • EBIT: 1.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (+9%)
  • รายได้จาก Ford E: 1.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (-33%)
    • EBIT: -1.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (เทียบกับการขาดทุน 1.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปีก่อน)
  • รายได้จาก Ford Credit: 3.1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (+19%)
    • EBIT: 0.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (+25%)
  • ยอดขายรถยนต์รวม: 504,039 คัน (+1%)
    • รถยนต์ไฟฟ้า: 23,509 คัน (+12%)
    • ไฮบริด: 48,101 คัน (+38%)
    • ICE: 432,429 คัน (-3%)

จากข้อมูลในรายงาน บริษัทยังคงเผชิญปัญหาเกี่ยวกับอัตรากำไรของรถยนต์ไฟฟ้า แม้ว่ายอดขายรถยนต์ไฟฟ้าจะเติบโต แต่ธุรกิจนี้ยังคงไม่ทำกำไรและต้องการเงินลงทุนต่อเนื่อง ส่งผลให้กำไรสุทธิลดลง 25% อย่างไรก็ตาม แผนก Ford Blue และ Pro ซึ่งเน้นรถยนต์เครื่องยนต์สันดาปภายใน (ICE) และให้บริการลูกค้ากลุ่มธุรกิจ รวมถึงการบริการหลังการขาย ช่วยบรรเทาปัญหาเหล่านี้ได้ในระดับหนึ่ง Ford Credit ถือเป็นอีกหนึ่งแผนกสำคัญที่สนับสนุนบริษัทในช่วงเวลายากลำบาก

รายงานผลประกอบการ Q4 2024 ของ Ford Motor Company

Ford เปิดเผยผลประกอบการไตรมาสที่ 4 ปี 2024 เมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2025 โดยมีตัวชี้วัดทางการเงินดังนี้:

  • รายได้: 48.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (+5%)
  • กำไรสุทธิ: 1.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (เทียบกับขาดทุน 0.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปีก่อน)
  • กำไรต่อหุ้น: 0.45 ดอลลาร์สหรัฐ (เทียบกับขาดทุน 0.13 ดอลลาร์สหรัฐในปีก่อน)
  • รายได้จาก Ford Blue: 27.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (+4%)
    • EBIT: 1.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (+100%)
  • รายได้จาก Ford Pro: 16.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (+5%)
    • EBIT: 1.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (-11%)
  • รายได้จาก Ford E: 1.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (-12%)
    • EBIT: -1.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (เทียบกับขาดทุน 1.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปีก่อน)
  • รายได้จาก Ford Credit: 3.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (+6%)
    • EBIT: 0.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (+33%)
  • ยอดขายรถยนต์รวม: 530,660 คัน (+1%)
    • รถยนต์ไฟฟ้า: 30,176 คัน (+16%)
    • ไฮบริด: 47,082 คัน (+26%)
    • ICE: 453,402 คัน (+7%)

รายงานตอกย้ำว่า Ford ยังคงเผชิญความท้าทายด้านอัตรากำไรของรถยนต์ไฟฟ้า แผนก Ford E ยังคงไม่ทำกำไร อย่างไรก็ตาม ธุรกิจหลักในการขายรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายใน (ICE) ยังคงสนับสนุนบริษัท

นักลงทุนตอบสนองในทางลบต่อรายงาน ทำให้ราคาหุ้นลดลง 7.5% หลังการประกาศ ซึ่งการขาดทุนของแผนก Ford E ไม่ได้เป็นปัจจัยสำคัญ เพราะตลาดได้คำนึงถึงผลการดำเนินงานที่อ่อนแอของแผนกนี้มาก่อนแล้ว แต่สิ่งที่กังวลคือแนวโน้มปี 2025 โดยแม้ว่ารายได้จะเพิ่มขึ้นถึง 48.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และมีกำไรสุทธิ 1.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ Ford ได้เตือนถึงความเป็นไปได้ที่ EBIT ที่ปรับปรุงแล้วจะลดลงอยู่ในช่วง 7.0-8.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2025 ลดลงจาก 10.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2024 อีกหนึ่งปัจจัยกังวลสำคัญคือโอกาสที่จะมีการกำหนดภาษีนำเข้า 25% สำหรับรถยนต์ที่นำเข้าจากเม็กซิโกและแคนาดา ซึ่งอาจกระทบผลประกอบการของ Ford ในเชิงลบ เนื่องจากบริษัทพึ่งพาโรงงานในเม็กซิโกสำหรับการผลิตต้นทุนต่ำ

การคาดการณ์ของผู้เชี่ยวชาญสำหรับหุ้น Ford Motor Company ในปี 2025

  • Barchart: ในบรรดานักวิเคราะห์ 19 คน 3 คนให้คะแนนหุ้น Ford เป็น Strong Buy, 11 คนเป็น Hold, 1 คนเป็น Sell และ 4 คนเป็น Strong Sell โดยราคาเป้าหมายสูงสุดอยู่ที่ 19 USD และต่ำสุด 8 USD
  • MarketBeat: จากผู้เชี่ยวชาญ 15 คน 4 คนแนะนำ Buy, 8 คนแนะนำ Hold และ 3 คนแนะนำ Sell โดยช่วงราคาเป้าหมายอยู่ที่ 8-18 USD
  • TipRanks: ในบรรดาผู้ตอบแบบสอบถาม 15 คน 4 คนให้คะแนนเป็น Buy, 8 คนเป็น Hold และ 3 คนเป็น Sell โดยมีช่วงราคาเป้าหมายที่ 8-17 USD
  • Stock Analysis: จากผู้เชี่ยวชาญ 16 คน 3 คนให้คะแนนหุ้นเป็น Strong Buy, 2 คนเป็น Buy, 8 คนเป็น Hold และ 3 คนเป็น Sell โดยช่วงราคาเป้าหมายอยู่ที่ 8-18 USD

การคาดการณ์ราคาหุ้น Ford Motor Company สำหรับปี 2025

ในกรอบเวลารายเดือน (Monthly Timeframe) หุ้น Ford ซื้อขายอยู่ในช่วง 9 ถึง 14 USD ตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2022 หลังจากการประกาศรายงานผลประกอบการรายไตรมาส ราคาหุ้นได้เคลื่อนตัวลง และแนวรับที่ 9 USD กำลังถูกทดสอบ เมื่อพิจารณาจากประสิทธิภาพของหุ้น Ford Motor Company แนวโน้มของการเคลื่อนไหวของราคาในปี 2025 มีดังนี้

การคาดการณ์หลัก สำหรับหุ้น Ford Motor Company บ่งชี้ว่าอาจมีการทะลุแนวรับที่ 9 USD ลงไป ซึ่งนำไปสู่การลดลงถึง 5 USD สถานการณ์นี้ถูกมองว่ามีความเป็นไปได้มากที่สุด เนื่องจากแนวโน้มปี 2025 ที่อ่อนแอ เหตุการณ์ลักษณะเดียวกันเคยเกิดขึ้นกับหุ้น Tesla เมื่อราคาหุ้นทะลุแนวรับลงไป และยังคงลดลงต่อเนื่อง

การคาดการณ์ทางเลือก สำหรับหุ้น Ford Motor Company คาดการณ์ว่าราคาจะดีดตัวจากแนวรับ 9 USD แล้วปรับตัวขึ้นไปสู่ขอบบนของช่วงการซื้อขายที่ 14 USD ราคาหุ้นอาจยังคงเคลื่อนไหวระหว่าง 9 USD ถึง 14 USD ในปี 2025 จนกว่าบริษัทจะสามารถแก้ปัญหาความสามารถในการทำกำไรของรถยนต์ไฟฟ้าได้

การวิเคราะห์และคาดการณ์ราคาหุ้น Ford Motor Company สำหรับปี 2025
Risk Warning: the result of previous trading operations do not guarantee the same results in the future

การวิเคราะห์และคาดการณ์ราคาหุ้น Ford Motor Company สำหรับปี 2025

ความเสี่ยงในการลงทุนในหุ้น Ford Motor Company

การลงทุนในหุ้น Ford Motor Company มีความเสี่ยงบางประการที่ต้องคำนึงถึง ดังนี้:

  • ความเป็นวัฏจักรของภาคยานยนต์: อุตสาหกรรมยานยนต์ขึ้นอยู่กับวัฏจักรเศรษฐกิจเป็นอย่างมาก ในช่วงภาวะเศรษฐกิจถดถอยหรือชะลอตัว ความต้องการซื้อรถใหม่อาจลดลงอย่างมาก ซึ่งอาจส่งผลลบต่อรายได้ของ Ford
  • การแข่งขันที่รุนแรง: Ford เผชิญการแข่งขันอย่างหนักจากบริษัทรถยนต์ขนาดใหญ่อย่าง General Motors (NYSE: GM) และ Toyota Motor Corporation (NYSE: TM) รวมถึงผู้เล่นหน้าใหม่ในตลาดรถยนต์ไฟฟ้า (EV) เช่น Tesla (NASDAQ: TSLA) การแข่งขันนี้อาจทำให้ส่วนแบ่งการตลาดลดลง และเกิดแรงกดดันด้านราคาเพิ่มขึ้น
  • การเปลี่ยนผ่านสู่รถยนต์ไฟฟ้า: การลงทุนในการพัฒนาและผลิตรถยนต์ไฟฟ้ามีค่าใช้จ่ายสูงและเสี่ยงมาก Ford กำลังเร่งขยายไลน์รถยนต์ไฟฟ้า แต่ต้องใช้เงินลงทุนจำนวนมากและอาจยังไม่เห็นผลตอบแทนในระยะเวลาอันใกล้ นอกจากนี้ บริษัทกำลังรายงานการขาดทุนในแผนก Ford E ซึ่งสะท้อนถึงความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจส่วนนี้
  • ความเสี่ยงด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรม: อุตสาหกรรมยานยนต์มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ทั้งในด้านการขับขี่อัตโนมัติ การเชื่อมต่อของยานพาหนะ และปัญญาประดิษฐ์ (AI) ทำให้ Ford ต้องสร้างนวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง หากเกิดข้อผิดพลาดในการบูรณาการเทคโนโลยีใหม่ หรือไม่สามารถตามทันคู่แข่ง อาจส่งผลลบต่อราคาหุ้นของบริษัท
  • ความเสี่ยงด้านสกุลเงินและภูมิรัฐศาสตร์: Ford ดำเนินงานทั่วโลก มีโรงงานผลิตและยอดขายในหลายประเทศ ความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน สงครามการค้า ภาษีนำเข้า และความไม่มั่นคงทางภูมิรัฐศาสตร์ ล้วนส่งผลกระทบต่อความสามารถในการทำกำไรและต้นทุนการดำเนินงานของบริษัท
  • ความเสี่ยงด้านเงินปันผล: แม้ในอดีต Ford จะจ่ายเงินปันผลมาอย่างต่อเนื่อง แต่เนื่องจากขาดทุนในบางส่วน เช่น แผนกรถยนต์ไฟฟ้า บริษัทอาจลดหรือระงับเงินปันผลได้ ซึ่งจะส่งผลลบต่อผู้ถือหุ้นที่พึ่งพาผลตอบแทนอย่างสม่ำเสมอ

สรุป

อุตสาหกรรมยานยนต์กำลังเปลี่ยนผ่านจากเครื่องยนต์สันดาปภายในสู่รถยนต์ไฟฟ้า Ford ก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น บริษัทกำลังปรับตัวไปสู่รถยนต์ไฟฟ้าและรถยนต์ไฮบริด และรายได้ยังรวมถึงบริการและการขายซอฟต์แวร์ที่เกี่ยวข้อง แนวทางที่หลากหลายนี้อาจทำให้ Ford กลายเป็นผู้เล่นที่ปรับตัวได้หลากหลายในตลาด ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคที่หลากหลายได้ อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จของกลยุทธ์นี้ขึ้นอยู่กับความสามารถของ Ford ในการขยายการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าให้ถึงจุดคุ้มทุน ซึ่งเป็นความท้าทายสำคัญอยู่แล้ว

หาก Ford สามารถบริหารจัดการการเปลี่ยนผ่านสู่รถยนต์ไฟฟ้าได้อย่างประสบความสำเร็จ และใช้ประโยชน์จากแบรนด์ควบคู่ไปกับนวัตกรรมด้านซอฟต์แวร์และบริการ บริษัทอาจก้าวขึ้นเป็นบริษัทรถยนต์ที่แข็งแกร่งและมีความหลากหลายมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ยังมีความเสี่ยงที่ธุรกิจรถยนต์ไฟฟ้าอาจไม่สามารถทำกำไรในระยะเวลาอันใกล้ ซึ่งอาจนำไปสู่แรงกดดันทางการเงินหรือการต้องปรับเปลี่ยนกลยุทธ์

การตอบสนองของตลาดต่อรายงานผลประกอบการรายไตรมาสบ่งชี้ว่านักลงทุนยังคงสงสัยในแผนของบริษัท และตั้งคำถามต่อความสามารถในการดำเนินการได้อย่างสมบูรณ์

โปรดทราบ!

การคาดการณ์ที่นำเสนอในส่วนนี้จะสะท้อนให้เห็นความคิดเห็นส่วนตัวของผู้แต่งเท่านั้น และจะไม่สามารถถูกพิจารณาว่าเป็นแนวทางสำหรับการซื้อขาย RoboForex ไม่รับผิดชอบสำหรับผลลัพธ์การซื้อขายที่อ้างอิงตามคำแนะนำการซื้อขายที่อธิบายเอาไว้ในบทวิจารณ์การวิเคราะห์เหล่านี้